การเป็นพ่อแม่ของลูกวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
เนื่องจากสังคมสมัยนี้แวดล้อมไปด้วยสื่อเทคโนโลยีที่ชักชวนให้ลูกหลงไปในทางที่ผิด
สิ่งหนึ่งที่ลูกวัยรุ่นต้องการ
คือการเป็นที่ยอมรับของกลุ่มเพื่อนว่าตนเองเป็นคนทันสมัยและไม่เชย
ซึ่งการใช้สื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยดูเหมือนจะเป็นแฟชั่นที่นิยม
และหากไม่มีใช้อาจดูเหมือนเชยและไม่ได้รับการยอมรับ
การใช้สื่อเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูทีวี การเล่นวิดีโอเกม
การใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯทำให้ลูกพลาดสิ่งสำคัญในชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การทำการบ้าน หรืออาจละเลยงานที่รับผิดชอบ เป็นต้น
จากรายงานของมูลนิธิครอบครัวสถาบันไคร์เซอร์ ของสหรัฐอเมริการะบุว่า
มากกว่า 5 ปีมาแล้ว ที่เด็กๆอายุ 8 - 18 ปีเพิ่มปริมาณการเสพสื่อเทคโนโลยีต่างๆ
จากการใช้เวลา 1 ชั่วโมง 17
นาทีต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 6 ชั่วโมง
21 นาที ถึง 7 ชั่วโมง 38 นาทีต่อวัน
ซึ่งเทียบเท่ากับการทำงานซึ่งเราใช้ใน 1 วันทีเดียว แต่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ
เด็กๆ ใช้เวลาถึง 7 วัน ในการเสพสื่อต่างๆ เหล่านี้
การใช้เวลาจากจอภาพนานๆ มีผลต่อลูกอย่างไร
หมอทางด้านเด็กกล่าวว่าการจ้องจอภาพเป็นเวลานานทำให้เด็กขาดความกระตือรือร้นและไม่กระฉับกระเฉงตามวัยที่ควรเป็น
ซึ่งการทำกิจกรรมต่างๆ
ในการขยับเขยื้อนร่างกายนั้นช่วยให้เด็กๆมีความรู้สึกดีกับตัวเอง นอนหลับสบาย
และมีการเรียนรู้ที่ดีขึ้น จอภาพต่างๆ ที่กล่าวถึงในที่นี้คือ คอมพิวเตอร์ ทีวี
โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งการเล่นเกมต่างๆทางอินเทอร์เน็ต ให้เรามาดูว่าวิธีช่วยเด็กๆ
ให้ลดการจ้องจอภาพเป็นเวลานานๆ สามารถทำได้อย่างไร
1.
คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี
ถึงแม้ว่าดูเหมือนลูกวัยรุ่นจะไม่สนใจในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำ
แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ยังคงเป็นต้นแบบที่สำคัญที่สุดในชีวิตลูก ดังนั้น
เราไม่สามารถบอกให้ลูกหยุดเสพเทคโนโลยีต่างๆ ได้หากตัวเราเองยังคงดูทีวีจนดึกดื่น
ส่งข้อความในขณะขับรถหรือมีมือถือไว้ข้างตัวขณะทานอาหาร จิตแพทย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า
หากเราลดปริมาณการดูหนังลง เด็กๆจะมีพฤติกรรมการติดหนังลดลงด้วย ดังนั้น
กฎข้อบังคับต่างๆที่ตั้งขึ้นมากมายเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือสื่อสารนั้น
ตัวเราเองต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย
2.
เตือนลูกถึงเวลาที่กำหนด
การงดไม่ให้ลูกเลิกเล่นเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก
แต่สิ่งที่สำคัญคือเตือนให้ลูกรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าลูกกำลังทำอะไรอยู่
บางครั้งอาจต้องเตือนลูกอย่างใจเย็นๆ ว่า “แม่คิดว่าลูกใช้เครื่องมือสื่อสารมากเกินไปแล้ว” ดังนั้น
ถึงเวลาควรหยุดและทำอย่างอื่นบ้างได้แล้ว
3.
สร้างแรงจูงใจให้ลูกออกกำลังกาย
เด็กวัยรุ่นหลายคนเลิกเล่นกีฬาช่วงวัยรุ่น
คุณพ่อคุณแม่ควรสร้างแรงจูงใจให้ลูกเลือกเล่นกีฬาที่ชอบ
หากเราอยากให้ลูกเล่นบาสเกตบอล แต่ลูกอยากว่ายน้ำ เราควรให้ลูกเป็นฝ่ายเลือก
และช่วยให้ลูกไปถึงเป้าหมายโดยการไปรับส่งและจัดตารางร่วมกันกับลูก
หากลูกชอบการดูดีวีดี คุณพ่อคุณแม่อาจสร้างแรงจูงใจให้ลูกโดยการจัดหาดีวีดี
เกี่ยวกับการออกกำลังกายและฝึกทำด้วยกันทั้งบ้านเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจที่สนุกกับลูก
4.
พยายามสนับสนุนการทำกิจกรรมที่ได้เข้าสังคม
กิจกรรมหรือการเข้าร่วมในคลับช่วยให้ลูกได้มีโอกาสเข้าสังคม
และรู้จักการปรับตัวเข้ากับคนอื่น
ในกรณีที่ไม่สามารถชักจูงให้ลูกเข้าร่วมในคลับต่างๆ ได้
ให้ลูกเลือกทำกิจกรรมกับกลุ่มที่ลูกคุ้นเคยและสนใจก่อน เช่นร่วมกิจกรรมที่โรงเรียน
ทำกิจกรรมกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงหรืออาสาสมัครทำงานที่ลูกชอบเป็นต้น
5.
มีข้อตกลงร่วมกันในการใช้เครื่องมือสื่อสาร
เช่น เขียนสัญญา
ข้อตกลงซึ่งเป็นกฎของบ้านร่วมกันกับลูกโดยการให้รางวัลหรือลงวินัยหากทำผิดกฎ
เพื่อให้ลูกรู้สึกมีส่วนร่วม ตัวอย่างข้อตกลงมีดังนี้
5.1 ห้ามส่งข้อความออนไลน์ในระหว่างทานอาหาร
ไม่ว่าเป็นที่บ้านหรือร้านอาหาร
5.2 ห้ามดูทีวีขณะรับประทานอาหาร
5.3 ต้องทำการบ้านหรืองานบ้านให้เสร็จก่อนดูทีวี
5.4 เมื่อถึงเวลานอนต้องปิดทีวี
5.5 ใช้คอมพิวเตอร์ได้ในห้องนั่งเล่น
5.6 ไม่ตั้งทีวีไว้ในห้องนอน
6.
เปิดอกคุยกับลูก หากการตั้งกฎต่างๆ
ใช้ไม่ได้ผลกับลูก อาจถึงเวลาในการคุยกับลูกตรงๆ
ถึงผลเสียของการเสพสื่อเทคโนโลยีต่างๆ
ให้ลูกค้นดูงานวิจัยมากมายถึงผลกระทบของการใช้สื่อมากเกินความจำเป็น เช่น
เป็นโรคอ้วน จอภาพสายตาเสื่อม เป็นโรคหัวใจเป็นต้น เพื่อจะได้ตระหนักถึงอันตรายที่กำลังเกิดขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น